top of page

On-Page SEO จุดเริ่มต้นของการทำ SEO

  • Writer: วีรยุทธ ชาญสุไชย
    วีรยุทธ ชาญสุไชย
  • Aug 17
  • 4 min read

Updated: Aug 21

ถนน ภูเขา และจอแสดง Blog Post สื่อถึงเป้าหมายในการเดินทาง (On-page SEO) และส่วนประกอบอื่น ๆ ของการทำ SEO ที่เสมือนวิวข้างทาง ที่สำคัญต่อการเดินทางเช่นกัน

ในการสร้างเว็บไซต์ หรือ ทำ Blog ไม่ว่าคนทำจะรู้หลักการทำ SEO หรือไม่ แต่การสร้างเนื้อหาบนเว็บไซต์ก็จะมีความเกี่ยวพันกับ On-page SEO โดยอัตโนมัติ


On-Page SEO คืออะไร? คำจำกัดความของที่เรียบง่ายที่สุดของ On Page SEO คือ

  • การปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับหลักเกณฑ์เพื่อให้ติดอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหา

  • หลักเกณฑ์ดังกล่าวก็คือ การทำให้หน้าเว็บนั้น ตอบรับคำค้นหาและ Intent (จุดประสงค์การค้นหา) ของ User

  • การทำ On-Page SEO จะมุ่งเน้นที่ประโยชน์ของ User แต่ให้ผลดีกับ Search Engine ไปพร้อมกัน


แก่นหลักในการทำ On Page SEO


การทำ On-Page SEO จะประกอบไปด้วยปัจจัยหลักเหล่านี้


  1. การมี Keyword ที่สัมพันธ์กับเนื้อหาอยู่ในจุดที่เหมาะสม


Keyword หรือคำค้นหา ที่สัมพันธ์กับเนื้อหาบนหน้าเว็บ จะช่วยให้ Google, Search Engine อื่นๆ และ ผู้อ่าน (User) เข้าใจเนื้อหาบนหน้าเว็บได้


  • URL

  • Page Title

  • Description

  • หัวข้อ (Header, Heading) h1, h2 ฯลฯ

  • ย่อหน้าแรก (เกริ่นนำ หรือส่วน Introduction)


ซึ่งลำดับที่ให้ข้างต้นจะคล้ายกับ Journey หรือการสำรวจ ท่องเว็บไซต์ ของผู้อ่าน เพราะหากผู้อ่านทำการค้นหาด้วย Keyword คำหรือประโยคหนึ่ง ก็จะเจอ Keyword ในผลการค้นหาเรียงตั้งแต่ URL, Page Title และ Description เป็นอันดับแรก หากผู้อ่านคลิกเข้าอ่านต่อ ก็จะพบกับ หัวข้อและเนื้อหาย่อหน้าแรกที่สัมพันธ์กับ Keyword ที่ใช้ค้นหา


ตัวอย่างเช่น บทความนี้เล่าเรื่อง "On-Page SEO" ซึ่งต่อให้ไม่ทำ SEO การเขียนตามธรรมชาติก็จะทำให้มีคำ ๆ นี้อยู่บนบทความเรื่อย ๆ โดยเฉพาะใน 5 จุดที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งการเขียนแบบเป็นธรรมชาติ โดยคำนึงถึงผู้อ่านจะดีต่อการทำ SEO มากกว่า การยัด Keyword ลงไปเยอะ ๆ ในเนื้อหา (Keyword Stuffing)



  1. เข้าใจ Keyword Intent


Keyword Intent คือคำค้นหาที่มีจุดประสงค์การค้นหาของ User อยู่ อาจเรียกอีกอย่างว่า User Intent เช่น


  • หาก User ยังไม่มีความรู้เรื่่องเครื่องซักผ้า ก็อาจจะทำการค้นหาว่า "เครื่องซักผ้า ฝาบน ฝาหน้า ต่างกันยังไง" เรียกว่า Informational Intent หรือ คำค้นหา/การค้นหาเพื่อหาข้อมูล

  • เมื่อ User มีความเข้าใจในสินค้าแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็อาจจะเป็นการค้นหาเพื่อเปรียบเทียบ สินค้า เช่น User อยากได้ อยากเปรียบเทียบ เครื่องซักผ้าฝาหน้า ก็อาจค้นหาว่า "เครื่องซักผ้าฝาหน้ายี่ห้อไหนดี" "เครื่องซักผ้าฝาหน้า 15 กิโล" เป็นต้น เรียกว่า Commercial Intent หรือ คำค้นหา/การค้นหาเพื่อการซื้อ/ขายสินค้า

  • และเมื่อ User เปรียบเทียบ อ่านเจอข้อดี ข้อเสีย จนตัดสินใจได้แล้ว ก็ถึงเวลาเลือกซื้อ User อาจค้นหาโดยใช้คำค้นหาที่มีชื่อแบรนด์ หรือ ชื่อรุ่นไปเลย ในกรณีนี้เรียก Transactional Intent หรือ คำค้นหา/การค้นหาเพื่อทำการซื้อ/ขาย

นอกจากนี้ยังมี Navigational Intent คือการ Search ด้วยชือเว็บ หรือ ชื่อแอปโดยตรงเพื่อหาทางเข้าสู่เว็บไซต์ แทนการพิมพ์ URL เต็ม ๆ บนช่อง URL การมี Keyword ที่สอดคล้องกับสิ่งที่ User ค้นหาจะช่วยให้มีโอกาสติดหน้าแรก ๆ มากขึ้น เพราะถือเป็นหน้าเว็บที่ตอบโจทย์แก่ผู้อ่าน ผู้บริโภค เนื่องจาก Search Engine ในยุคปัจจุบันให้ความสำคัญกับประโยชน์ที่ User จะได้รับจากการใช้ Search Engine เป็นอย่างมาก


การหา Keyword สามารถใช้ เครื่องมือฟรีบนโลกออนไลน์ได้ เช่น Keyword Generator ของ Ahrefs, Google Keyword Planner ของ Google หรือ อาจใช้ช่องค้นหาของ Google, Bing โดยตรง เพื่อดูว่าผู้คนนิยมใช้คำแบบไหนในการค้นหา




  1. การเขียน Title และ Description ให้น่าสนใจ (แต่ไม่คลิกเบท)


เมื่อ Search Engine ทำการตรวจดูเนื้อหาเว็บไซต์ (Crawl) และจัดเก็บเข้าระบบ (Index) เรียบร้อยแล้ว เมื่อมีคนค้นหาด้วย Keyword ที่สัมพันธ์กับเว็บไซต์ สิ่งนี้เป็นโอกาสที่ Title และ Description ที่เราเขียนไว้จะได้ออกโรง (แม้ว่าในหลาย ๆ ครั้ง Google จะทำการเติมแต่ง หรือ เขียนเนื้อหาสองส่วนนี้ให้เอง) และการเขียนที่ดีจะช่วยกระตุ้นให้ User อยากคลิกเพื่อเข้าไปอ่านเนื้อหามากขึ้น


วิธีการเขียน Meta Title และ Meta Descripiton


  • ความยาวที่พอเหมาะสำหรับ Title และ Description คือ 60 และ 160 ตัวอักษร ตามลำดับ

  • ตอบรับการค้นหา เช่น เขียนให้ชัดเจนว่าสิ่งที่ผู้อ่านค้นหา ในเว็บเรามีคำตอบให้

  • การเขียนแบบชวนให้เกิดคำถาม ความสงสัยก็เป็นวิธี แต่ไม่ควรทำให้เป็น Clickbait (คลิกเบท) เกิน

  • มี Keyword หรือหากใส่ไม่ได้ ก็อาจใช้คำที่ใกล้เคียงแทน

  • หากบทความหรือเนื้อหาหน้านั้น สามารถปรับแต่งอัปเดตตามยุคสมัย ก็อาจใส่ตัวเลขกำกับ เช่น วิธีการเดินทางไปหัวหิน 2025 หรือ 2568

  • ในส่วน Description อาจเขียนให้ล้อไปกับ Title โดยอาจอธิบายขยายความต่อ



  1. สร้าง URL ให้ดีต่อ SEO


การตั้ง URL ให้สั้น แต่ครบในรายละเอียด เป็นเรื่องที่ดีต่อการทำ SEO เพราะเมื่อหน้าเว็บของเราขึ้นแสดงบนผลการค้นหา ส่วนหนึ่งของ URL จะขึ้นแสดงในรูปแบบ Breadcrumbs ซึ่งใครเห็นก็จะรู้เลยว่าหน้าเว็บนี้จะมีเนื้อหาประมาณไหน


การตั้ง URL Slug


URL Slug คือส่วนประกอบของ URL ซึ่งจะเป็นส่วนที่ระบุว่าหน้าเว็บนั้นเกี่ยวกับอะไร เช่น สำหรับหน้านี้ URL Slug ก็คือ "on-page-seo"


หากสมมุติให้ร้านอาหารของคุณชื่อ Tasty และมีเว็บไซต์ ซึ่งมีหน้าเว็บหนึ่งหนึ่งที่เกี่ยวกับเครื่องดื่ม URL Slug ก็อาจจะออกมาในลักษณะนี้ www.tastydiner.com/menu/beverages


การตั้ง Slug แม้จะไม่สามารถใส่ Keyword ภาษาไทยได้โดยตรง แต่หากสามารถตั้งโดยมี Keyword เป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้คนเข้าใจว่าเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรก็เป็นแนวคิดที่ดี เพราะถ้าเป็นคำศัพท์ง่าย ๆ Google และ Search Engine อื่น ๆ ก็สามารถเข้าใจเนื้อหาบนเว็บได้ไม่ยาก


หลักการตั้ง Slug อื่น ๆ ก็มีดังนี้


  • ไม่ใส่วันที่ หรือ ปีหากไม่จำเป็น เพื่อที่จะได้สามารถปรับปรุงอัปเดตเนื้อหาหน้าเว็บนั้นได้เรื่อย ๆ และเลี่ยงไม่ให้ Search Engine มองว่าเป็นบทความที่ล้าสมัย (ในกรณีที่ใส่ Slug ว่าเป็นของปี 2021) ยกเว้น ว่าเราต้องการทำเนื้อหาหรือบทความแบบราย

  • เน้นตั้ง URL Slug ให้เรียบง่าย สั้น อ่านแล้วเข้าใจได้เลย



  1. มี Internal Link ในจุดที่จำเป็น


หากบนเว็บไซต์ของคุณ มีหน้าเว็บที่เกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับเนื้อหาส่วนใด ส่วนหนึ่ง ก็ควรทำ Internal Link ให้เกิดการเชื่อมต่อของเนื้อหาบนเว็บไซต์


Internal Link ทำหน้าที่คล้าย ๆ สะพานเชื่อมต่อหน้าเว็บไซต์เข้าด้วยกัน เวลาที่บอทของ Search Engine มาตรวจดูเนื้อหาเว็บไซต์ (การ Crawl) ระบบก็จะเข้าใจว่าแต่ละหน้ามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ทำไมถึงเชื่อมโยงระหว่างกัน


หลักในการใส่ Internal Link


  • ติด Link บนข้อความที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกัน โดยใส่ให้เป็นธรรมชาติ และห้ามอัด Keyword ลงบนข้อความ

  • ควรพา User ไปยังหน้าที่สำคัญ เช่น อาจจะพาไปดูหน้าเว็บที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ หรืออาจจะเป็นบทความอื่น ๆ

  • ควรวางผังโครงสร้างของบทความ เพื่อให้แต่ละหน้าได้รับ Link อย่างเหมาะสม เช่น

    • อาจมีหน้าบทความหน้าหนึ่งที่พูดถึง AI โดยรวม เช่น AI คืออะไร มีประวัติอย่างไร

    • จากนั้นอาจจะเขียนบทความถึง AI แต่ละเจ้า เช่น หน้าหนึ่งเขียนถึง ChatGPT อีกหน้าหนึ่ง อาจพูดถึง Gemini อีกหน้าหนึ่ง ก็อาจพูดถึงการใช้งาน AI ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ การเขียนโดยวางผัง และเขียนออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ คำนึงถึงผู้อ่าน ย่อมเกิดการต่อยอดไปยังเนื้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกันโดยอัตโนมัติ



  1. มี Link ออกไปยังเว็บนอก


ตัวอย่าง เช่น Google กล่าวเรื่อง External link ไว้ว่า

การมี External Link เป็นเรื่องที่ดีในการอ้างอิงข้อมูลที่ได้มาจากเว็บไซต์อื่น หรือใช้ส่งผู้อ่านไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ ที่น่าเชื่อถือ

ดังที่เห็นไปด้านบน จะมีการฝังลิงก์บนข้อความ (Anchor Text) เพื่อขอบคุณหรืออ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์อื่น




  1. ปรับแต่งเนื้อหาตามหลัก E-E-A-T


หลัก EEAT คือการเขียนเนื้อหาโดยยึดประโยชน์ของผู้อ่านเป็นหลัก


หลักการ Google EEAT ย่อมาจาก


  • Experience: เนื้อหาจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน หรือรีวิวของผู้ใช้งาน/ลูกค้าของเว็บไซต์

  • Expertise: ทักษะความรู้ความเชี่ยวชาญขอวผู้เขียนที่ส่งผลต่อเนื้อหาบนเว็บไซต์

  • Authoritativeness: ชื่อเสียงของเว็บไซต์ที่ได้รับการอ้างอิงหรือกล่าวถึงจากเว็บไซต์อื่นที่มีเนื้อหาประเภทเดียวกัน

  • Trustworthiness: ความโปร่งใส และความถูกต้อง น่าเชื่อถือของข้อมูลและตัวเว็บไซต์



  1. การปรับโครงสร้างเนื้อหาให้อ่านง่าย


เนื้อหาบนเว็บไซต์เองก็ต้องการการจัดรูปแบบให้อ่านง่ายไม่ต่างจากสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่มีการจัดวางเนื้อหาให้เหมาะกับรูปเล่ม สำหรับการปรับโครงสร้างเนื้อหาจะมีหลัก ๆ ดังนี้


  • จัดวางหัวข้อ (H1, H2, H3) ตามลำดับที่เหมาะสม และแต่ละหน้าควรมี H1 หรือหัวข้อใหญ่ เพียงหนึ่งเดียว เสมือนเป็นชื่อตอนของของนวนิยาย หรือ หัวเรื่องหลักของหนังสือประเภทอื่น ๆ

  • ใช้ย่อหน้า หรือแบ่งเนื้อหาออกเป็นข้อย่อย ด้วย Bullet หรือ ใช้หัวข้อย่อยเป็นตัวเลข เป็นต้น

  • ใช้ตัวหนาในประโยคข้อความสำคัญบนเนื้อหา

  • มี Internal Link ดังที่กล่าวไว้ในข้อที่ 5



  1. การปรับแต่งรูปภาพบนเว็บไซต์


รูปภาพบนเว็บไซต์เองก็มีผลต่อ Page Experience หรือประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของผู้อ่าน เนื่องจากไฟล์รูปหรือไฟล์วิดีโอแต่ละประเภทมีจุดประสงค์การใช้งาน และมีขนาดของที่แตกต่างกัน


อ้างอิงจาก Google เรื่อง Image SEO Best practice ซึ่งในบทความนี้จะเน้นเฉพาะส่วนที่สามารถทำได้ง่าย เช่น


  • เนื่องจาก Search Engine bot จะ Crawl (อ่านข้อมูลบนเว็บ) ผ่าน Code การตั้งชื่อไฟล์ให้เข้าใจง่ายเช่น "cute-puppy.jpg" ย่อมสร้างความเกี่ยวเนื่องกับเนื้อหามากกว่า ชื่อไฟล์แบบ "img001" และควรตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น

  • ใช้ประเภทหรือฟอร์แมตไฟล์รูปที่ Google Support คือ BMP, GIF, JPEG, PNG, WebP, SVG, และ AVIF

  • การเขียน Alt Text เพื่อบรรยายรูปภาพ ส่วนนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้มีปัญหาทางสายตาด้วย เนื่องจาก พวกซอฟต์แวร์ Screen Reader จะอ่านข้อมูลส่วนนี้ให้ผู้ใช้งานด้วย ตัวอย่าง เช่น หากไฟล์ชื่อ "cute-puppy" Alternate text อาจจะออกมาในลักษณะนี้


<img src="cute-puppy.jpg" alt="ลูกสุนัขพันธ์ลาบราดอร์หน้าตาน่ารัก"/>



6. สร้าง Page Experience ที่ดี


Page Experience คือสิ่งที่ Google ใช้วัดผลว่าผู้ใช้งานได้รับ "ประสบการณ์" ขณะใช้งานเว็บไซต์ที่ดีเพียงใด การปรับปรุงหน้าเว็บตามปัจจัยต่อไปนี้นี้จะช่วยให้ User หรือผู้เข้าชมเว็บไซต์ ได้รับประสบการณ์ที่ไหลลื่น ไม่ติดขัด ซึ่ง Google มักจะแสดงเว็บที่มีให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีในอันดับการค้นหาที่สูงขึ้น


ปัจจัยหลักของ Page Experience มีดังนี้


1. Core Web Vitals (CWV)


เป็นการวัดผล 3 จุดหลักที่ส่งผลต่อสุขภาพ "สุขภาพ" (Health) ของเว็บไซต์ในด้านความเร็วในการโหลด, การตอบสนอง และความเสถียรในการแสดงผล


  • Largest Contentful Paint (LCP): วัดประสิทธิภาพด้าน การโหลด โดยนับเวลาตั้งแต่เริ่มเปิดหน้าเว็บไปจนถึงจุดที่เนื้อหาหลัก ๆ หรือองค์ประกอบที่ใหญ่ที่สุด (ส่วนใหญ่มักเป็นรูป) บนหน้าเว็บโหลดจนแสดงผลเสร็จสมบูรณ์ ค่า LCP ที่ดีควรต่ำกว่า 2.5 วินาที


วิธีปรับปรุง (ที่สามารถทำได้ทันที)


  • บีบอัดและปรับขนาดไฟล์รูปภาพให้เหมาะสม หรืออาจ ใช้ไฟล์รูป Format ใหม่อย่าง WebP

  • ชะลอการโหลด JavaScript และ CSS ที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน




  • Interaction to Next Paint (INP): วัดประสิทธิภาพการโต้ตอบ-การตอบสนองต่อ User เช่น การคลิก การแตะ การพิมพ์ ซึ่งไม่ควรเกิดการ Delay ค่า INP ที่ดีควรต่ำกว่า 200 มิลลิวินาที (ค่านี้เข้ามาแทนที่ First Input Delay (FID))


วิธีปรับปรุง


  • แบ่ง Task ของ JavaScript ที่ทำงานนาน ๆ ให้เป็น Task ย่อยๆ

  • ลดการใช้ JavaScript ที่ทำงานบน Main Thread

  • ปรับปรุงสคริปต์จากภายนอก (Third-party Scripts)


  • Cumulative Layout Shift (CLS): วัดความเสถียรในการแสดงผล วัดจากปริมาณการขยับหรือเคลื่อนที่ขององค์ประกอบต่าง ๆ บนหน้าเว็บอย่างไม่คาดคิด (เช่น ปุ่มต่าง ๆ เลื่อนหนีเมาส์ตอนที่ User กำลังจะกด) ค่า CLS ควรต่ำกว่า 0.1


วิธีปรับปรุง


  • กำหนดขนาดความกว้าง (width) และความสูง (height) ของรูปภาพและวิดีโอเสมอ

  • กำหนดพื้นที่สำหรับสื่อโฆษณาหรือเนื้อหาที่ฝังเข้ามา (Embed) เพื่อไม่ให้ดันเนื้อหาอื่นลงไป

  • เลี่ยงการแทรกเนื้อหาใหม่เข้ามาที่ส่วนบนของเนื้อหาเดิม (เว้นแต่ User ทำเอง)


2. การรองรับการแสดงผลบนมือถือ (Mobile-Friendliness)


หน้าเว็บต้องใช้งานง่ายบนอุปกรณ์มือถือ เช่น สมาร์ตโฟน หรือ แท็บเล็ต โดยตัวอักษรบนจอต้องอ่านได้ชัดเจน ไม่ต้องซูม และ ปุ่มหรือลิงก์ต่างๆ ต้องมีระยะห่างที่เหมาะสมเพื่อ User จะได้กดง่าย


วิธีปรับปรุง


  • ออกแบบเว็บไซต์แบบ Responsive Design ซึ่งจะสามารถปรับการแสดงผลให้เข้ากับทุกขนาดหน้าจอโดยอัตโนมัติ (เนื่องจากสมาร์ตโฟน หรือ แท็บเล็ตแต่ละรุ่น แต่ละแบรนด์มีขนาดจอที่แตกต่างกัน)


3. การใช้งาน HTTPS

หน้าเว็บต้องให้ใช้โปรโตคอล HTTPS เพื่อความปลอดภัยและการเข้ารหัสข้อมูลให้กับผู้ใช้งาน



4. ไม่มีโฆษณารบกวน User


เพื่อการใช้งานที่ไม่ติดขัดของ User ควรหลีกเลี่ยงการใช้โฆษณา Pop-up เนื่องจากบดบังเนื้อหาหลัก บนหน้าเว็บ โดยเฉพาะเวลาที่ User เพิ่งเข้ามาในเว็บไซต์ผ่านการคลิกที่หน้าผลการค้นหา เนื่องจาก Google มองว่าผู้ใช้งานเว็บไม่ควรโดนขัดจังหวะจากสิ่งที่ไม่คาดคิด


เราสามารถวัดผล Core Web Vitals จากเครื่องมือเหล่านี้ได้


  • Google Search Console: มีรายงาน "Core Web Vitals" ที่แสดงประสิทธิภาพของเว็บไซต์โดยตรง

  • PageSpeed Insights: ให้คะแนนและคำแนะนำในการปรับปรุงอย่างละเอียดสำหรับแต่ละหน้า

  • Lighthouse: เครื่องมือที่อยู่ใน Chrome DevTools สำหรับนักพัฒนาเพื่อทดสอบและวิเคราะห์หน้าเว็บ


  1. การสร้าง Schema Markup


การสร้าง Schema Markup บนหน้าเว็บ จะช่วยให้ Google ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหน้านั้น ๆ มากขึ้น ข้อมูลที่มากขึ้นต่อ Search Engine นอกจากจะช่วยให้ระบบเข้าใจเนื้อหาหน้าเว็บมากขึ้น ก็ยังมีผลอย่างมากในการที่ AI จะนำข้อมูลบนเว็บไซต์ไปใช้งาน


ดูตัวอย่างการทำ Schema Markup ได้ที่นี่ การทำ Local SEO



โดยสรุปแล้ว การทำ On Page SEO ที่กล่าวมาทั้งหมด ตั้งแต่การวาง Keyword ในจุดที่เหมาะสม, การเข้าใจเจตนาของผู้ค้นหา (Intent), การปรับปรุงโครงสร้างเนื้อหาและรูปภาพ ไปจนถึงการสร้าง Page Experience ที่ดี ล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือ การทำให้เว็บไซต์ของคุณมีประโยชน์และใช้งานง่ายที่สุดสำหรับผู้ใช้งาน

อาจดูเหมือนมีรายละเอียดที่ต้องทำเยอะมาก แต่ที่จริงการทำ On-Page SEO มีหัวใจหลักที่ค่อนข้างเรียบง่ายมาก นั่นคือ การให้ความสำคัญกับผู้อ่านเป็นอันดับแรก เมื่อเว็บไซต์ของคุณมอบคำตอบที่ตรงประเด็น, มีเนื้อหาที่น่าเชื่อถือตามหลัก E-E-A-T, และสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่น ไม่ติดขัดแล้ว Search Engine อย่าง Google ก็จะมองเห็นคุณค่าและมอบอันดับที่ดีให้เป็นผลตอบแทนเอง


On-Page SEO ไม่เพียงแต่จะเป็นเทคนิคเพื่ออันดับที่ดีขึ้น แต่ยังเป็นรากฐานที่สำคัญของการสร้างเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Ahrefs และ SearchEngineJournal

Comments


bottom of page