ค้นหาคำตอบ Technical SEO คืออะไร?
- วีรยุทธ ชาญสุไชย

- May 26
- 2 min read
Updated: Aug 2

บ่อยครั้งที่การทำ SEO จะมุ่งเน้นไปที่ On-page SEO และ Backlink (หรือ Off-page SEO) แต่ในความเป็นจริงแล้วถึงแม้จะทำ SEO ทั้ง 2 อย่างที่กล่าวมาอย่างเต็มที่ แต่ถ้า Search Engine ไม่สามารถ Crawl และ Index เพื่อนำเว็บไซต์หรือหน้าเว็บนั้นไปแสดงผลบนหน้าผลการค้นหา (SERP) ได้ ก็แทบไม่เกิดประโยชน์
ความสำคัญของ Technical SEO คือ เป็น 1 ใน 3 แกนหลักหรือหัวใจสำคัญของการทำ SEO ซึ่งอาจจะเหมือนว่ามีความสำคัญเท่า ๆ กัน แต่ที่จริง Technical SEO มีความสำคัญกว่า On-page SEO และ Off-page SEO ในระดับหนึ่ง
หากเปรียบเทียบ Technical SEO ให้เห็นภาพชัด ๆ ก็คือ
Content (On-Page SEO) เปรียบเสมือนสินค้าที่ขาย
Off-page คือ การทำการตลาดให้ผู้คนรู้จัก
Technical SEO จะเป็นเสมือนโครงสร้างหลักของธุรกิจ นั่นคือ โรงงาน เส้นทางโลจิสติกส์ และ พื้นที่ขาย (หน้าร้าน, Online)
ถ้าเทียบในลักษณะนี้ ต่อให้สินค้าหรือบริการ (Content) ดี, การตลาดดี แต่ถ้าโครงสร้างธุรกิจไม่ดีหรือแย่ ก็อาจจะทำไม่ได้แม้แต่การผลิตสินค้าเพื่อขาย
ดังนั้น Technical SEO คือการวางรากฐานในการทำ SEO ให้ออกมาสมบูรณ์ นั่นคือ สามารถส่งต่อแนวคิด ไอเดีย ธุรกิจ หรือ สินค้า ให้คนหมู่มากสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งก็คือการวางรากฐานเว็บไซต์ให้ Search Engine ต่าง ๆ สามารถ Crawl (สำรวจข้อมูล) และ Index (จัดเก็บลงในฐานข้อมูล) ได้
พื้นฐานการทำ Technical SEO
พื้นฐานของการทำ SEO อาจมีความตรงไปตรงมา แต่สำหรับ Technical SEO จะมีความซับซ้อน เข้าใจยากกว่าพอสมควร ดังนั้นเราจะไปเริ่มจากการทำความเข้าใจ Search Engine ก่อน
เข้าใจการ Crawling เว็บไซต์
การ Crawling คือการที่ Search Engine สำรวจข้อมูลของเว็บไซต์ในแต่ละหน้าด้วย Spider Bot หรือในอีกเชื่อ Crawler Spider โดยบอทนี้จะทำงานตามลำดับ
เดินทางเข้าสู่เว็บไซต์
สำรวจข้อมูลบนเว็บไซต์ผ่านโค้ด
ไปยังหน้าต่าง ๆ บนเว็บ ผ่าน Link ต่าง ๆ ที่อยู่ในหน้า เพื่อเข้าถึงข้อมูลในหน้าอื่น ๆ
ซึ่งเราพอจะควบคุมการ Crawling Web ได้บ้างเล็กน้อย โดยมีตัวเลือกดังนี้
Robots.txt
เราสามารถกำหนดใน robots.txt ได้ ว่าเราอยากหรืออนุญาตให้ Search Engine เข้าไปสำรวจหน้าเว็บหน้าใดได้บ้าง
Robots.txt คืออะไร?

Robots.txt คือไฟล์ text ที่อยู่ในโฟลเดอร์ Root Directory ของเว็บไซต์ ซึ่งทำหน้าที่โดยตรงในการสื่อสาร ให้ข้อมูลกับ web crawler หรือ bot ว่าอนุญาตให้เข้าไปเก็บข้อมูลในส่วนใดของเว็บไซต์ได้บ้าง
วิธีตั้งค่า robots.txt ให้กับหน้าเว็บที่ไม่ต้องการให้ bot มา Crawl สมมุติเราไม่ต้องการให้ bot Crawl หน้านี้ www.something.com/blogs/how-to-play-guitar/ เราก็จะพิมพ์เพิ่มคำสั่ง Disallow: /how-to-play-guitar/ ลงในไฟล์ robots.txt
จำกัดการเข้าถึงหน้าเว็บ
การจำกัดการเข้าถึงจะเหมาะกับการใช้งานภายในองค์กรหรือระบบปิด เช่น อนุญาตให้เฉพาะบาง IP เท่านั้น ที่สามารถเข้าถึงหน้าเว็บหน้าที่ต้องการได้
Crawl rate
เราสามารถกำหนดในไฟล์ robots.txt ได้ ว่าต้องการให้ Search Engine (ยกเว้น Google*) เข้ามา Crawl เว็บเราบ่อยแค่ไหน
ในอดีตเราพอกำหนดอัตราความถี่ในการ Crawl (Crawl Rate) ได้ใน Search Console แต่ในปัจจุบันไม่สามารถทำได้แล้ว เนื่องจาก Google ให้เหตุผลว่าแทบไม่ค่อยมีคนใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าว
ตรวจสอบการ Crawl อย่างไร?
การตรวจสอบการ Crawl ของ Google ทำได้ง่าย ๆ เพียงคลิก Open Report ที่ “Crawl stats” ในเมนู Setting ของ Google Search Console

แต่ละเว็บไซต์จะได้รับ Crawl budget หรือจำนวนหน้าที่ Bot จะมาตรวจสอบไม่เท่ากัน ซึ่งเกิดจากความถี่ที่ Google ต้องการ Crawl และจำนวนที่เว็บไซต์อนุญาตให้ Crawl หน้าเว็บที่ได้รับความนิยมและมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย รวมถึงมี Backlink ที่มีคุณภาพ เนื้อหาเชื่อมโยงกัน ก็จะได้รับการ Crawl บ่อยขึ้น
หลังจากหน้าเว็บได้รับการ Crawl ก็จะมีการเก็บข้อมูลและ Index (หรือบันทึกข้อมูลลงฐานข้อมูล)
เข้าใจการ Index เว็บไซต์
Robots directives หรือการเขียนคำสั่งสำหรับ Bot
ปกติแล้วข้อมูลส่วน <head> ของเว็บไซต์จะออกแบบมาเพื่อให้ข้อมูลกับระบบต่าง ๆ รวมถึง Search Engine โดย robot meta tag จะสามารถเขียนคำสั่งไม่ให้ Bot มา index หน้าเว็บได้
เช่น <meta name="robots" content="noindex" />
Canonicalization
ทุกครั้งที่ Bot พบเนื้อหาบนเว็บไซต์มีความคล้ายคลึงกัน Google จะเลือกเพียงหน้าเดียวไป Index สิ่งนี้เราเรียกว่า Canonicalization ทำให้ มีเพียง URL เดียวเท่านั้นที่ Google นำไปแสดงผลในหน้า SERP (Search Engine Result Page)
วิธีที่เราสามารถเลือก Canonical URL สามารถทำได้โดยวิธีเหล่านี้
Canonical tags
ติดตั้ง<link rel="canonical" href="https://example.com/" /> บน <head> ของหน้าที่
ต้องการ แต่โดยมาก CMS จะมีฟีเจอร์ให้ผู้ใช้สามารถกำหนด Canonical page ได้ง่าย ๆ
เราสามารถตรวจสอบได้ว่า Google เลือกหน้าไหนเป็น Canonical URL ได้ที่เมนู URL
Inspection บน Google Search Console
เพิ่ม Internal Link
Internal link คือลิงก์ที่เชื่อมโยงหน้าต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ การมี Internal Link จะทำให้ Bot เจอหน้าอื่น ๆ ในเว็บไซต์ และช่วยให้ติดอันดับได้ดีขึ้น โดยเฉพาะ Internal Link ที่เชื่อมโยงกับหน้าเว็บที่มีเนื้อหาเชื่อมโยงกัน
ใส่ Schema Markup
Schema markup เป็นโค้ดที่ช่วยเพิ่มข้อมูลให้กับ Search Engine เพื่อให้ Google เข้าใจเนื้อหาบนหน้าเว็บนั้น ๆ ได้มากขึ้น Google เองมี Search Gallery ที่แสดงรูปแบบการแสดงผลการ Search ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งหน้าเว็บจะต้องมี Schema Markup เพื่อรองรับฟีเจอร์ดังกล่าว
การทำ Schema Markup เองเป็นปัจจัยสำคัญในการทำ Local SEO อีกด้วย ดูการทำ Schema Markup สำหรับ Local SEO
สำหรับทั้งหมดนี้จะเป็น Technical SEO ที่ Users ส่วนใหญ่สามารถทำเองได้ โดยถ้าสร้างเว็บไซต์บน CMS ต่าง ๆ การทำ Technical SEO เบื้องต้นก็จะยิ่งง่ายขึ้น เพราะมีเครื่องมือ หรือ Plug-in ต่าง ๆ ที่คอยช่วยเหลือในการทำ Technical SEO ตามที่กล่าวไปในบทความนี้
การทำ Technical SEO ถือว่ามีความสำคัญกว่า On-page SEO และ Off-page SEO เนื่องจาก Technical SEO ค่อนข้างมีผลกับพื้นฐานของเว็บไซต์ และยังเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมีในยุคที่การ Search รูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นจากพลังของ AI สามารถอ่านทำความเข้าใจความสำคัญได้ที่ การทำ SEO ปี 2025
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Search Engine Land และ Ahrefs

Comments